เมื่ออายุมากขึ้น ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการลื่นล้ม การเดินสะดุด หรืออุบัติเหตุภายในบ้าน มักเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การมีประกันอุบัติเหตุผู้สูงอายุ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และให้ความอุ่นใจทั้งกับผู้สูงอายุและคนในครอบครัว แต่การจะเลือกแผนประกันให้เหมาะสม ต้องดูทั้งด้านสุขภาพ งบประมาณ และเงื่อนไขกรมธรรม์ร่วมด้วยค่ะ
1. เลือกแบบคุ้มครองที่เหมาะกับสุขภาพในปัจจุบัน
ผู้สูงอายุแต่ละคนมีภาวะสุขภาพแตกต่างกัน บางคนยังเดินเหินได้คล่อง แต่บางคนอาจมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือข้อเข่าเสื่อม จึงควรเลือก ประกันอุบัติเหตุผู้สูงอายุ ที่คุ้มครองกรณีลื่นล้ม กระดูกหัก และค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย
หากผู้สูงอายุขยับตัวไม่สะดวก ควรเลือกแผนที่มีเงินชดเชยรายวันในกรณีต้องนอนโรงพยาบาล เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก
2. ตรวจสอบวงเงินคุ้มครองให้เพียงพอกับความเสี่ยง
ผู้สูงอายุมีโอกาสกระดูกหักง่ายกว่าคนวัยทำงาน และค่ารักษาพยาบาลก็อาจสูงกว่า จึงควรเลือกวงเงินที่ครอบคลุมจริง เช่น
อย่ามองแค่ค่าเบี้ยถูก แต่ควรดูว่าเพียงพอกับค่ารักษาจริงในโรงพยาบาลหรือไม่
3. เปรียบเทียบเบี้ยประกันกับงบประมาณครอบครัว
โดยทั่วไป ค่าเบี้ยของ ประกันอุบัติเหตุผู้สูงอายุ จะสูงกว่าแผนบุคคลทั่วไป เนื่องจากความเสี่ยงมากกว่า แต่ยังสามารถเลือกแผนที่เหมาะกับงบได้ เช่น แผนพื้นฐานที่ครอบคลุมเฉพาะค่ารักษาพยาบาล หรือแผนที่เพิ่มเงินชดเชยรายวันเข้าไป
ควรเลือกแผนที่จ่ายเบี้ย “สบายใจ” เพื่อให้สามารถต่ออายุได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุดกลางทาง
4. เช็กอายุรับประกันและข้อยกเว้นสำคัญ
บริษัทประกันหลายแห่งมีเกณฑ์อายุรับประกัน เช่น 60–75 ปี หรือบางแห่งสามารถสมัครได้ถึง 80 ปี ควรตรวจสอบให้ชัดเจน รวมถึงข้อยกเว้นที่มักถูกมองข้าม เช่น
อ่านเงื่อนไขทุกข้อก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้ความคุ้มครองตรงความต้องการที่สุด
การเลือกประกันอุบัติเหตุผู้สูงอายุที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูทั้งสุขภาพของผู้สูงอายุ ความเสี่ยงในชีวิตประจำวัน วงเงินคุ้มครองที่เพียงพอ และเงื่อนไขของแต่ละแผนร่วมด้วย หากเลือกได้ถูกต้อง จะช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ และลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้จริงค่ะ